สุขภาพ » เชียงใหม่รักษาผู้ป่วยหายเพิ่มอีก 1 ราย เหลือรักษาตัวในโรงพยาบาลเพียง 7 รายเท่านั้น

เชียงใหม่รักษาผู้ป่วยหายเพิ่มอีก 1 ราย เหลือรักษาตัวในโรงพยาบาลเพียง 7 รายเท่านั้น

30 เมษายน 2020
433   0

Spread the love

จังหวัดเชียงใหม่รักษาผู้ป่วยหายเพิ่มอีก 1 ราย เหลือรักษาตัวในโรงพยาบาลเพียง 7 รายเท่านั้น ด้าน ศบค. ประกาศแนวทางมาตรการผ่อนปรน กิจการ 6 ประเภทแล้ว

นายแพทย์ธนชล วงศ์หิรัญเดชา นายแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน ด้านระบาดวิทยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่วันนี้ (30 เม.ย. 63) ว่า จังหวัดเชียงใหม่ไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มติดต่อกันเป็นวันที่ 22 โดยยังมีจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 40 ราย รักษาหายกลับบ้านเพิ่มอีก 1 ราย คือผู้ป่วยหมายเลข PUI 592 ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง รวมผู้ที่กลับบ้านได้แล้ว 32 ราย เหลือรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเพียง 7 รายเท่านั้น ด้านผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรคมีสะสม 1316 ราย ยังอยู่ในโรงพยาบาล 72 รายกลับบ้านแล้ว 1,244 ราย ส่วนภาพรวมประเทศในวันนี้พบผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มเพียง 7 ราย ซึ่งเป็นวันที่ 4 ที่มีตัวเลขต่ำกว่าสิบ และมีผู้หายป่วยเพิ่มขึ้น 22 คน รวมผู้ป่วยหายกลับบ้านแล้วทั้งหมด 2,687 คน

สำหรับ การเตรียมมาตรการผ่อนปรนการประกอบกิจการและกิจกรรม จากศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. ได้วางแนวทางและจัดกลุ่มประเภท ตามมาตรการผ่อนปรน กิจการ 6 ประเภท ซึ่งประกอบไปด้วย 1.ตลาด อาทิ ตลาดสด ตลาดนัด ตลาดชุมชน 2.ร้านจำหน่ายอาหาร ได้แก่ ร้านจำหน่ายอาหารทั่วไปนอกห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารริมทาง 3.กิจการค้าปลีก-ส่ง เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าปลีกชุมชน 4.กีฬาสันทนาการ หรือกิจกรรมในสวนสาธารณะ สนามกีฬากลางแจ้ง 5.ร้านตัดผม-เสริมสวย โดยให้บริการเฉพาะ ตัด สระ ไดร์ผม เท่านั้น และ 6. อื่นๆ ได้แก่ ร้านตัดขนสัตว์ รับเลี้ยงสัตว์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ เจ้าของกิจการจะต้องเตรียมมาตรการการควบคุม ที่เหมาะสมตามสภาพแวดล้อม และบริบทของแต่ละแห่ง ไม่ว่าจะเป็นการบริการแอลกอฮอล์เจล อ่างล้างมือ การเว้นระยะห่าง การจัดคิว จัดจุดพักคอย ให้กับผู้มาใช้บริการ เพื่อไม่ให้เกิดความแออัด เป็นต้น ทั้งนี้ หากไม่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น คณะกรรมการโรคติดต่อ จะได้พิจารณาผ่อนคลายมาตรการ ภายใต้กรอบแนวทางการปฏิบัติของ สบค. และรัฐบาล ต่อไป